วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ดอยอินทนนท์


ตั้งแต่สมัยเด็กๆ
ใครๆ ก็ท่องจำว่าดอยอินทนนท์เป็นดอยที่สูงที่สุดของประเทศไทย ซึ่งสูงถึง 2,565 กิโลเมตรจากระดับน้ำทะเล


เด็กกรุงเทพอย่างเรา หรือใครที่ไม่เคยมาเที่ยวเลย ก็จะไม่รู้สภาพภูมิประเทศ....ท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทองกันไป สมัยก่อนการเรียนมีสื่อน้อย ภาพก็ไม่ค่อยเห็น สมัยนี้มีสารพัดสื่อ เราเองกว่าจะได้มาถึงอินทนนท์ก็ปาไปห้าสิบกว่า...คิดแต่ว่าดอยคงไม่หายไปไหนไปเมื่อไรก็ได้ หรืออาจจะว่าเป็นเด็กด้อยโอกาสประเภทหนึ่งก็น่าได้...เพราะไม่มีใครพาเที่ยวภูเขาภูดอยเลย นอกจากภูเขาทองวัดสระเกศ

พอมาอยู่เชียงใหม่มีโอกาสได้ขึ้นมาที่จุดสูงสุดแดนสยามเป็นครั้งแรก ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2551 วันนั้นตรงกับวันอาทิตย์ช่วงเช้าอากาศเย็นจนหนาว ลมพัดก้อนเมฆผ่านหน้าเราไปเป็นหมอกบางๆ ถ้ามิใช่วันสำคัญ คงมิได้ขึ้นมาที่นี่ ...เพราะชีวิตนี้มีงานให้ทำเยอะจริงๆ...ท่องเที่ยวเป็นของแถมหรือเป็นผลพลอยได้

ที่ว่าวันสำคัญคือเป็นวันคล้ายวันที่เจ้าอินทวิชยานนท์
เจ้าผู้ครอง นครเชียงใหม่ องค์ที่ 7 ถึงแก่พิราลัย
ปี 2440 นับมาก็ 111 ปี พอดี

อำเภอจอมทอง ซึ่งเป็นที่ตั้งของดอยอินทนนท์ ร่วมกับสภา วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ เป็นประธาน จัดให้มีพิธีไหว้สาเจ้าอินทวิชยานนท์บนยอดดอยนี้ เพราะเล่ากันว่าก่อนจะเสียชีวิต ท่านรับสั่งให้นำอัฐิส่วนหนึ่งของท่านมาไว้บนยอดดอยนี้เพื่อปกป้องคุ้มครองชาวเชียงใหม่ให้มีความอยู่เย็นเป็นสุข อัฐิอีกส่วนหนึ่งบรรจุในกู่ที่วัดสวนดอก เช่นเดียวกับอัฐิของเจ้านายฝ่ายเหนือท่านอื่นๆ

เจ้านายฝ่ายเหนือในปัจจุบันที่มีชีวิตอยู่ก็มีไม่มากนัก แต่ละท่านยังช่วยกิจกรรมของจังหวัดเป็นอย่างดี เป็นที่น่าเคารพนับถือ
วันนั้นมีคุณเจ้าดารารัตน์ ณ ลำพูน หลานคุณหญิงเจ้า ระวีพันธ์ สุจริตกุล มาร่วมงานเป็นตัวแทนเจ้านายฝ่ายเหนือ ส่วนคุณหญิงเจ้าท่านมิได้มาเนื่องจากท่านล้มและเจ็บหลังคุณหมอยังให้พักอยู่บ้าน ท่านก็อายุ 80 แล้วแต่ยังแข็งแรง ท่านช่วยงานสังคมสงเคราะห์ ให้กับหลายสมาคมในเชียงใหม่ และเป็นที่ปรึกษาให้กับเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงใหม่ด้วย

สถานที่จัดงานไหว้สาประดับด้วยดอกไม้สด สวยงามมีนักเรียนในเขตพื้นที่อำเภอจอมทองมาบรรเลงดนตรีพื้นเมืองและสาวๆฟ้อนรำงดงามและอ่อนช้อย ส่วนเด็กนักเรียนชายตัวน้อยๆก็โชว์ลีลาการตีกลองสะบัดไชย อย่างน่าดู จากนั้นก็มีขบวนแห่ของชาวบ้านตำบลต่างๆ แต่งกายพื้นเมืองสวยงามและที่น่าสนใจยิ่งนัก คือการประดิษฐ์ประดอยพุ่มดอกไม้ที่มีหลากหลายแบบ โดยเฉพาะของชาวบ้านที่ทำมาด้วยใจเป็นกรวยใบตองใส่ดอกไม้สีสดใสที่ปลูกเอง หรือจะเก็บมาจากริมทางก็มิทราบได้ บ้างก็เป็นใบเตยพับเป็นดอกไม้เขียวไปทั้งช่อเลย ประเภทที่ทำจากเทียนและหมากก็มี...สุดจะบรรยาย มาแล้วมีความสุข สุขที่ได้เห็นสิ่งดีๆในบรรยากาศที่แสดงออกถึงความเคารพศรัทธา กตัญญูต่อผู้มีบุญคุณในอดีต....


นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติที่บังเอิญขึ้นมาวันนั้นได้บันทึกภาพสวยๆกลับไป รวมทั้งเราด้วยที่อดไม่ได้ที่จะถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐานว่าได้มาถึงแล้วจุดสูงสุดแดนสยาม

ไม่มีความคิดเห็น: